3 เทคนิคลงทุนเพื่อเกษียณ ตอบโจทย์ลงทุนกองทุนรวมและทุกสินทรัพย์

ลงทุนกองทุนรวมเพื่อการเกษียณอย่างไรดี

ผู้เขียน จิณณรักษ์ เจตน์รังสรรค์ CFP®

“การเกษียณ” ถือเป็นอีกหนึ่งปลายทางของการทำงานหนักสำหรับใครหลายคน ซึ่งการจะเดินทางไปสู่เป้าหมายเกษียณอายุที่ต้องการได้ ไม่เพียงแต่จะต้องบริหารความเสี่ยงรอบด้าน ทั้งในเรื่องชีวิตและสุขภาพเท่านั้น แต่การต่อยอดเงินเก็บเพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับชีวิตในวันที่ไม่ได้ทำงานอีกต่อไปก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน

ในแง่มุมของการลงทุนทั้งก่อนและหลังเกษียณ หลายคนอาจเคยได้ยินถึง 3 กลยุทธ์ลงทุนกองทุนรวมและสินทรัพย์ต่าง ๆ อย่าง Income Investing, Growth Investing และ Core - Satellite Strategy กันมาไม่มากก็น้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้ว่าจะเลือกลงทุนด้วยกลยุทธ์ไหนถึงจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการได้ หากใครกำลังสงสัยเช่นเดียวกันนี้อยู่ ผู้เชี่ยวชาญรับดูแลการลงทุนจาก Money Adwise จะมาเจาะลึกทุกรายละเอียดของแต่ละกลยุทธ์ให้ทุกคนได้พิจารณากัน

 

กลยุทธ์ที่ 1 : Income Investing

ไม่ว่าจะหยุดทำงาน หรือ ลดความสำคัญของภาระการงานให้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ในชีวิต การเกษียณอายุก็มาพร้อมกับ “ค่าใช้จ่าย” ที่ต้องบริหารจัดการอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่วางแผนเกษียณจึงควรมองหาแหล่งรายได้ที่สามารถรองรับทุกค่าใช้จ่ายในวันที่ทำงานได้น้อยลงเรื่อย ๆ อย่างการนำเงินเก็บส่วนหนึ่งมาต่อยอดด้วยการลงทุนผ่านกลยุทธ์ที่เรียกว่า Income Investing 

Income Investing หรือที่หลายคนอาจรู้จักในชื่อของ Income Portfolio คือ กลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ จัดเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนเพื่อชีวิตหลังเกษียณที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ได้กับการลงทุนได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้สม่ำเสมอ รวมไปถึงการลงทุนกองทุนรวม กองทุนประเภทต่าง ๆ เพื่อการเกษียณอายุ กองทุนอสังหาริมทรัพย์อย่าง REITs นอกจากนี้ยังรวมถึงหุ้นหรือสินทรัพย์ที่จ่ายเงินปันผล

 

แนวทางการวางแผนลงทุนแบบ Income Investing เบื้องต้น 

การลงทุนด้วยกลยุทธ์อย่าง Income Investing ให้ความสำคัญในเรื่องของการเติบโตของสินทรัพย์ที่เลือกลงทุน และการสร้างผลตอบแทนจากส่วนต่าง (Capital Gain) เป็นหลัก อีกทั้งยังสามารถวางแผนเพื่อการลงทุนได้ตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตามเป้าหมายรายได้ที่ต้องการสร้าง รวมไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการในอนาคต

การลงทุนแบบ Income Investing ให้มีประสิทธิภาพสามารถนำหลักการที่เรียกว่า Rule of Thumb หรือ The 4% Rule มาปรับใช้ได้เช่นกัน โดยหลักการดังกล่าวนี้เชื่อว่า ผู้เกษียณควรลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากเงินเก็บให้ได้อย่างน้อยปีละ 4% เพื่อรองรับค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยผลตอบแทนจำนวน 4% นี้จะต้องทำการปรับอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีร่วมด้วย

ถึงแม้ 4% จะดูเป็นตัวเลขที่น้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนประเภทไหนก็มาพร้อมกับความเสี่ยงและโอกาสในการขาดทุนเช่นกัน ซึ่งหากไม่วางแผนการลงทุนให้รอบคอบ ตลอดจนติดตามเศรษฐกิจอยู่เป็นประจำ เมื่อหักลบผลตอบแทน เงินเฟ้อ และความเสี่ยงในหลากหลายด้านแล้ว ผลตอบแทน 4% ที่ดูเหมือนน้อยก็อาจเป็นเป้าหมายที่ยากจะไปถึงได้เช่นกัน

 

ข้อควรรู้ของการลงทุนแบบ Income Investing

Income Investing เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ อย่างไรก็ดี การจะสร้างรายได้ให้เพียงพอกับชีวิตหลังเกษียณด้วยกลยุทธ์นี้จำเป็นจะต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมเงินเก็บเพื่อนำมาลงทุน อีกทั้งนักลงทุนยังต้องพิจารณาเลือกสินทรัพย์ที่เติบโตได้ในระยะยาว มีความเสี่ยงเหมาะสม ทั้งยังมีการจ่ายเงินปันผล หรือผลตอบแทนเพื่อเพิ่มสภาพคล่องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อการสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี Income Investing ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มาพร้อมความเสี่ยงในเรื่องของความไม่แน่นอน ทั้งในเรื่องของเศรษฐกิจ รวมไปถึงความสามารถในการบริหารจัดการในหลาย ๆ ฝ่าย เช่น การลงทุนกองทุนรวมก็จะมีความสามารถในการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง

และเพื่อสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรต้องวางแผนอย่างรอบด้าน เพราะเมื่อได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่เพียงพอกับรายได้ที่ต้องการแล้ว นักลงทุนยังควรมองหาวิธีการบริหารเงินเพื่อนำเงินส่วนหนึ่ง หรือ ผลตอบแทนที่เหลือจากการนำไปใช้ กลับมาลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนต่อไปเรื่อย ๆ เพราะหากไม่นำเงินกลับเข้าไปลงทุนเลย เมื่อเศรษฐกิจเกิดความผันผวนสูงก็อาจทำให้เราต้องนำเงินต้น หรือ เงินเก็บสำหรับส่วนอื่น ๆ ออกมาใช้ ทำให้การเงินในภาพรวมเสียสมดุล และเพิ่มความเสี่ยงให้กับชีวิตได้เช่นกัน

 

กลยุทธ์ที่ 2 : Growth Investing

นอกจาก Income Investing แล้ว สำหรับใครที่กำลังมองหาทางเลือกในการต่อยอดเงินเก็บเพื่อการเกษียณ Growth Investing ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การลงทุนสำหรับก่อนและหลังเกษียณที่ได้รับความนิยมเช่นกัน 

Growth Investing คือ กลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการลงทุนในสินทรัพย์ของกิจการ บริษัท หรืออุตสาหกรรมที่มีโอกาสในการเติบโตสูง รวมไปถึงการเลือกลงทุนกับธุรกิจขนาดเล็ก ธุรกิจที่น่าจับตามอง หรือธุรกิจที่เพิ่งเปิดดำเนินการได้ไม่นาน แต่คาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างรายได้และเติบโตได้สูงในอนาคต

สำหรับนักลงทุนสาย Growth Investing นั้นจะเน้นไปที่สินทรัพย์การลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้นเติบโต ลงทุนกองทุนรวม ธุรกิจที่เพิ่งเปิด IPO หุ้นและกองทุน หรือกองทุนสำหรับเกษียณอายุบางตัวก็สามารถลงทุนแบบ Growth Investing ได้ แต่ควรจะพิจารณาจากโอกาสในการเติบโตในอนาคตเป็นหลัก ซึ่งจะแตกต่างจากกลยุทธ์อย่าง Value Investing ที่จะเลือกซื้อสินทรัพย์ที่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง

 

แนวทางการวางแผนลงทุนแบบ Growth Investing เบื้องต้น

ความไม่แน่นอนของโลกใบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เช่นเดียวกับโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและความไม่แน่นอนในอนาคต ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนบางส่วนจึงตั้งคำถามกับ Growth Investing อยู่ไม่น้อยในเรื่องของการเลือกสินทรัพย์ที่คำนึงถึงโอกาสในการเติบโตในอนาคต ซึ่งหากใครกำลังสงสัยในเรื่องของการเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนแบบ Growth Investing เช่นกัน ที่ปรึกษารับดูแลการลงทุนจาก Money Adwise ขอแนะนำให้พิจารณา 2 ปัจจัยเบื้องต้น ดังนี้

 

  1. พิจารณาค่า Return on Equity (ROE)
    ค่า ROE เป็นอัตราส่วนทางการเงินของสินทรัพย์ คำนวณได้จากการนำ กำไรสุทธิ ÷ ส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งหากคำนวณแล้วมีค่า ROE ตั้งแต่ 15% ก็แปลว่าสินทรัพย์ดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี

  2. กำไรสุทธิของสินทรัพย์ Earning Per Share (EPS) ที่ผ่านมา
    แม้ผลประกอบการในอดีตจะไม่สามารถการันตีผลตอบแทนในอนาคต แต่การศึกษากำไรสุทธิของสินทรัพย์ หรือ ESP ก็สามารถช่วยให้พิจารณาเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมได้ เนื่องจากกำไรสุทธิของสินทรัพย์เท่ากับกำไรของบริษัทนั่นเอง

  3. การประกาศผลประกอบการ (Earning Announcement)
    ธุรกิจจะประกาศผลประกอบการต่อสาธารณชนตามรอบที่กำหนด ซึ่งอาจเป็นระยะเวลา 1 ไตรมาส หรือยาวนานถึง 1 ปี 

 

ข้อควรรู้ของการลงทุนแบบ Growth Investing

สำหรับใครที่ต้องการลงทุนแบบ Growth Investing เพื่อการเกษียณ สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน คือ โอกาสในการเติบโตของธุรกิจที่สนใจร่วมลงทุน เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สามารถคาดการณ์ได้ค่อนข้างยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจน่าจับตามองที่เปิดตัวได้ไม่นาน ซึ่งปัจจัยนี้ถือเป็นความเสี่ยงชิ้นใหญ่ที่นักลงทุนจะต้องพิจารณาและบริหารจัดการให้ดี 

ดังนั้น หากต้องการลงทุนด้วยกลยุทธ์ Growth Investing ขอแนะนำให้ศึกษารายละเอียดทุกด้านให้รอบคอบมากที่สุด อีกทั้งยังควรปรับสัดส่วนการลงทุน หรือทำ Asset Allocation ที่เหมาะสมเพื่อสร้างผลตอบแทน และบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา

 

 

กลยุทธ์ที่ 3 : Core - Satellite Strategy

สำหรับใครหลายคนแล้ว กลยุทธ์ Income Investing อาจเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว ในขณะที่ Growth Investing อาจเป็นกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์การลงทุนระยะสั้น แต่อย่างไรก็ดี การเกษียณอายุที่มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะสั้น ในขณะที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาวได้เช่นกัน ซึ่งหากนักลงทุนคนไหนต้องการสร้างผลตอบแทนที่ตอบโจทย์ในทุกระยะเช่นนี้ กลยุทธ์อย่าง Core - Satellite Strategy คือ คำตอบที่คุณเฝ้ารอ

Core - Satellite Strategy คือ กลยุทธ์การลงทุนที่สามารถวางแผนเพื่อสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในระยะสั้น-กลาง และระยะยาวตามเป้าหมายทางการเงินที่ตั้งเอาไว้ โดยกลยุทธ์นี้จะแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 พอร์ต คือ

  1. พอร์ตส่วน Core เป็นพอร์ตส่วนหลัก เน้นการเลือกสินทรัพย์เพื่อลงทุนในระยะยาว คิดเป็นสัดส่วน 60% - 85% ของเงินทุนทั้งหมด มีการซื้อขายน้อย และมีการกระจายความเสี่ยงสูงเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ เช่น สามารถเลือกลงทุนกองทุนรวม กองทุนดัชนี หรือจะเลือกลงทุนตราสารหนี้ 
    แต่ไม่ว่าจะเลือกลงทุนในสินทรัพย์ใด การลงทุนในพอร์ตส่วน Core ควรพิจารณาเลือกสินทรัพย์ที่มีต้นทุนทางภาษีต่ำ ให้ผลตอบแทนตามดัชนี ตลอดจนมีความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุนที่ต่ำด้วย
  2. พอร์ตส่วน Satellite เป็นพอร์ตการลงทุนส่วนเสริม เน้นไปที่การลงทุนระยะสั้นและกลาง มีสัดส่วนอยู่ที่ 15% - 35% ของเงินลงทุน ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับไหว โดยนักลงทุนสามารถเลือกธีมการลงทุนที่สนใจได้ 1 - 4 ธีม เช่น พลังงานทางเลือก หุ้นสายเติบโต ตลอดจนการลงทุนในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น 

แนวทางการวางแผนลงทุนแบบ Core - Satellite Strategy เบื้องต้น

การลงทุนด้วยกลยุทธ์ Core - Satellite Strategy ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดนั้น นักลงทุนควรปรับพอร์ตและพิจารณารายละเอียด ดังนี้

  1. วิเคราะห์ผลตอบแทนที่คาดหวังได้ สำหรับภาพรวมการลงทุนและพอร์ตส่วน Core
    สามารถพิจารณาได้จากเปอร์เซนต์ที่ติดลบในภาวะวิกฤตหรือค่า (-2SD) ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่รับไหว ซึ่งการพิจารณาในส่วนนี้จะช่วยกำหนดโครงสร้างสัดส่วนการลงทุนภาพรวมทั้งหมดได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังช่วยกำหนดสัดส่วนการลงทุนพอร์ต Core ได้อีกด้วย
  2. กำหนดสัดส่วนการลงทุนในพอร์ต Satellite
    เลือกการลงทุนที่สนใจมาสัก 1 - 4 ธีมเพื่อสร้างผลตอบแทนในระยะสั้นและกลาง พร้อมกำหนดสัดส่วนให้เหมาะสม เช่น หากสนใจการลงทุนในธีมพลังงานสะอาด 3 สินทรัพย์ สามารถกระจายการลงทุนคิดเป็นสินทรัพย์ละ 10% เป็นต้น

ข้อควรรู้ของการลงทุนแบบ Core - Satellite Strategy

แม้นักลงทุนจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งระยะสั้น กลาง และยาวเพื่อเป้าหมายที่ต้องการในทุกช่วงเวลา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า นักลงทุนจะสามารถซื้อสินทรัพย์ที่สนใจและปล่อยให้พอร์ตบริหารตัวเองได้ 

ดังนั้น เพื่อผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด นักลงทุนยังต้องศึกษาทุกรายละเอียดของสินทรัพย์ที่ได้เลือกลงทุน พร้อมติดตามผลลัพธ์ วัดผล พร้อมทำการปรับสัดส่วนพอร์ต หรือ Rebalancing ทั้งพอร์ตส่วน Core และ Satellite เพื่อบริหารความเสี่ยง ตลอดจนความผันผวนในแต่ละช่วงเวลา ที่สำคัญ! ห้ามลืมทบทวนกลยุทธ์การลงทุนของพอร์ตทั้งสองส่วนเสมอ

 

สรุปสุดท้าย! ควรใช้กลยุทธ์ไหนถึงจะเหมาะกับเป้าหมายเกษียณอายุ?

จะเห็นได้ว่า ในแต่ละกลยุทธ์จะมาพร้อมกับเป้าหมายการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป โดยการลงทุนแบบ Income Investing จะเน้นการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงไม่สูงมาก ทำให้เห็นผลลัพธ์ได้ช้า ในขณะที่การลงทุนแบบ Growth Investing จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่คาดการณ์ไม่ได้ของธุรกิจที่ร่วมลงทุนด้วย แต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงในระยะเวลาไม่นานมาก 

แม้แต่การลงทุนแบบ Core - Satellite Strategy ที่ผสมผสานเทคนิคการสร้างผลตอบแทนระยะสั้นและยาว นักลงทุนยังต้องใช้เวลาในการศึกษา เลือกสินทรัพย์ พร้อมบริหารจัดการพอร์ตในระยะเวลาต่าง ๆ ตามความผันผวนของตลาดเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ เพื่อเลือกใช้กลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนนำแนวคิดของแต่ละกลยุทธ์มาปรับใช้เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ต้องการ นักลงทุนทุกคนควรกำหนดเป้าหมายทางการเงินให้ชัดเจนมากที่สุด พร้อมวางแผนการเงินและการลงทุนรองรับในแต่ละช่วงเวลา 

เช่น หากต้องการเกษียณ ต้องกำหนดอายุที่ต้องการเกษียณ ประเมินรายได้ของตัวเองขณะนี้ พร้อมพิจารณาว่าตอนนี้ตนเองมีทรัพย์สินใดบ้าง มีครอบครัวและคนข้างหลังที่ต้องดูแลมากน้อยแค่ไหน จากนั้นจึงวางแผนการเงินให้รัดกุม ทั้งนี้เพื่อเป็นการกำหนดเป้าหมายในการลงทุนให้ชัดเจน ทำให้สามารถเลือกสินทรัพย์และกลยุทธ์การลงทุนที่ให้ผลลัพธ์ที่ต้องการได้อย่างเหมาะสม พร้อมยังช่วยบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน ตลอดจนช่วยสร้างสภาพคล่องให้กับการเงินในขณะที่ลงทุนได้อีกด้วย

 

เริ่มต้นการลงทุนเพื่อการเกษียณ พร้อมเลือกวิธีการบริหารเงินที่เหมาะสมตั้งแต่วันนี้ ด้วยบริการวางแผนการลงทุนโดยนักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ CFP® และผู้เชี่ยวชาญรับดูแลการลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจาก Money Adwise พร้อมสร้างผลตอบแทน 6% - 7%* ต่อปี และกระแสเงินสดรายเดือนในอัตราผลตอบแทน 4% - 5% ต่อปี* นัดปรึกษาครั้งแรกฟรี!

*ไม่ใช่การการันตี

**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาเงื่อนไข ความเสี่ยง ผลตอบแทน และนโยบายของผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจลงทุน

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้