ทำความเข้าใจความเสี่ยงการลงทุนสินทรัพย์แต่ละแบบ ก่อนเริ่มต้น

ทำความเข้าใจความเสี่ยงการลงทุนสินทรัพย์แต่ละแบบ ก่อนเริ่มต้น

การลงทุนคืออะไร

การลงทุนเป็นการใช้เงินหรือทรัพย์สินที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อสร้างผลตอบแทนในอนาคต โดยการนำเงินไปลงในสินทรัพย์หรือเครื่องมือทางการเงินที่มีศักยภาพในการให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วไปหรือเงินฝากในธนาคาร การลงทุนสามารถทำได้หลากหลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้กระทั่งการลงทุนในกองทุนรวม เป้าหมายหลักของการลงทุนคือการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว โดยมีความคาดหวังที่จะได้รับผลตอบแทนจากการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์นั้น ๆ หรือผ่านการรับดอกเบี้ย เงินปันผล หรือกำไรจากการขายในอนาคต อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ก็มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้บริการจากที่ปรึกษาทางการเงิน หรือเลือกทำความเข้าใจใในสินทรัพย์ก่อนตัดสินใจลงทุน

ความเสี่ยงในการลงทุน ประกอบด้วย

การลงทุนในทุกประเภทของสินทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นหุ้น พันธบัตร หรือกองทุนรวม ล้วนมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป นักลงทุนที่ดีจึงควรเข้าใจว่าความเสี่ยงในการลงทุนประกอบด้วยปัจจัยใดบ้าง เพื่อจะได้บริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเลือกสินทรัพย์ให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ ซึ่งโดยหลักทั่วไป ความเสี่ยงที่สำคัญมีทั้งหมด 6 ประเภท ดังนี้

1.ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) - เป็นความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่ได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ทำให้ราคาของสินทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ กล่าวง่าย ๆ คือ หากคุณลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ คุณอาจไม่สามารถขายออกได้ในเวลาที่ต้องการ หรืออาจต้องขายในราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาด 
2.ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Exchange Rate Risk) - ความเสี่ยงประเภทนี้พบมากในกรณีที่นักลงทุนมีการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ เช่น หุ้น กองทุนรวม หรือพันธบัตรของต่างประเทศ เพราะการลงทุนดังกล่าวต้องแลกเปลี่ยนเงินบาทเป็นเงินสกุลอื่น ซึ่งมูลค่าของเงินตราเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน

  • หากค่าเงินบาทแข็งค่า (เงินบาทมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น) จะทำให้นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นต่างประเทศได้ในราคาที่ถูกลง
  • หากค่าเงินบาทอ่อนค่า (เงินบาทมีมูลค่าลดลง) นักลงทุนจะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นเพื่อซื้อสินทรัพย์เดียวกัน ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น และหากขายออกในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็ง ก็จะได้รับเงินน้อยลงเมื่อแปลงกลับมาเป็นเงินบาท

3.ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk) - อัตราดอกเบี้ยเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนทุกประเภท เพราะเมื่อธนาคารกลางของประเทศมีการปรับอัตราดอกเบี้ย ก็จะส่งผลต่อการไหลเวียนของเงินทุนในระบบ

  • ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น: นักลงทุนจำนวนมากอาจย้ายเงินจากตลาดหุ้นไปลงทุนในพันธบัตรหรือเงินฝาก เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่แน่นอน ทำให้หุ้นถูกขายออกและราคาลดลง
  • ดอกเบี้ยลดลง: นักลงทุนมักจะนำเงินออกจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ เช่น พันธบัตร เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่าในตลาดหุ้น ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น

4.ความเสี่ยงจากอัตราเงินเฟ้อ (Inflation Risk) - เงินเฟ้อคือภาวะที่ราคาสินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว ทำให้มูลค่าของเงินลดลง กล่าวคือ เงินจำนวนเท่าเดิมสามารถซื้อสินค้าได้น้อยลง

  • เงินเฟ้ออ่อน ๆ: ถือเป็นสัญญาณว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต และมักส่งผลดีต่อผลประกอบการของบริษัท ทำให้ตลาดหุ้นมีแนวโน้มเติบโตตาม
  • เงินเฟ้อรุนแรง: มักทำให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเพื่อลดแรงกดดันด้านราคาสินค้า ส่งผลลบต่อตลาดหุ้นและภาคธุรกิจ

5.ความเสี่ยงจากตลาด (Market Risk) - เป็นความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้โดยตรง เพราะเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาวะเศรษฐกิจโลก ภัยพิบัติ ภาวะสงคราม หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งสามารถทำให้ตลาดทั้งตลาดมีความผันผวนอย่างรวดเร็ว แม้ว่าสินทรัพย์ที่คุณถืออยู่อาจไม่ได้มีปัญหาโดยตรงก็ตามเช่น หากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก นักลงทุนมักจะขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้ราคาหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลง
6.ความเสี่ยงทางธุรกิจ (Business Risk) - ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นกับกิจการหรือบริษัทที่นักลงทุนเลือกลงทุนโดยตรง เช่น หากบริษัทนั้นประสบปัญหาด้านยอดขาย การบริหารจัดการขาดประสิทธิภาพ หรือต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น อาจทำให้ผลกำไรลดลงและกระทบต่อราคาหุ้น

ความเสี่ยงของการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท

การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ นั้นมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินทรัพย์นั้น ๆ ดังนี้

  • การลงทุนในหุ้น - การลงทุนในหุ้นถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง เนื่องจากราคาหุ้นอาจมีความผันผวนอย่างมากจากปัจจัยภายนอก เช่น ข่าวเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย การเมือง และความคาดหวังของนักลงทุน หุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงอาจให้ผลตอบแทนที่ดี แต่ในทางกลับกันก็อาจประสบกับการขาดทุนได้หากบริษัทนั้น ๆ พบปัญหาทางการเงินหรือการดำเนินงาน 
  • การลงทุนในพันธบัตร - พันธบัตรถือเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านเครดิตหรือความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลหรือบริษัทที่ออกพันธบัตร ความเสี่ยงของการลงทุนในพันธบัตร อาจเกิดจากการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกพันธบัตร หรืออัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจทำให้มูลค่าพันธบัตรลดลง
  • การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ - การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีความเสี่ยงในด้านของสภาพคล่อง เพราะอาจต้องใช้เวลานานในการขายหรือเปลี่ยนมือ อีกทั้งยังต้องพิจารณาความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่อาจทำให้ราคาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ลดลง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากการเกิดภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือแผ่นดินไหว
  • การลงทุนในกองทุนรวม - การลงทุนในกองทุนรวมเป็นการลงทุนที่ช่วยกระจายความเสี่ยง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนรวมที่มีสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น หรือพันธบัตรที่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจมีผลตอบแทนที่ผันผวน

วิธีบริหารความเสี่ยงในการลงทุน

การบริหารความเสี่ยงการลงทุนถือเป็นทักษะที่สำคัญในการลงทุนให้ประสบความสำเร็จ แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงได้ทั้งหมด แต่การบริหารความเสี่ยงที่ดีสามารถช่วยลดผลกระทบจากความเสี่ยงได้ ดังนี้

  • การกระจายการลงทุน (Diversification) - การกระจายการลงทุนในหลายสินทรัพย์สามารถช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนได้ ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้น, พันธบัตร, และอสังหาริมทรัพย์ร่วมกัน จะช่วยให้ความเสี่ยงจากการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ไม่ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
  • การลงทุนระยะยาว (Long-term Investment) - การลงทุนระยะยาวช่วยลดความผันผวนจากความเสี่ยงระยะสั้น การถือครองสินทรัพย์ในระยะยาวมักจะสามารถฟื้นตัวจากการผันผวนของตลาดได้มากกว่าการลงทุนระยะสั้น
  • การศึกษาข้อมูล (Research and Education) - การศึกษาข้อมูลของสินทรัพย์ที่จะลงทุน รวมถึงการติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเมือง และการเปลี่ยนแปลงของตลาด จะช่วยให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้ดียิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เหมาะสม
  • การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ - การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน หรือที่ปรึกษาทางการเงินสามารถช่วยให้การลงทุนมีความมั่นคงและลดความเสี่ยงได้ โดยการให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของนักลงทุนแต่ละคน

สรุป

การลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันออกไป การทำความเข้าใจความเสี่ยงในการลงทุน และการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีระบบจะช่วยให้การลงทุนของคุณ มีโอกาสประสบความสำเร็จและลดโอกาสขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการเริ่มต้นลงทุน แต่ไม่แน่ใจว่าจะเลือกสินทรัพย์ประเภทไหนที่เหมาะสมกับเป้าหมายทางการเงินของคุณ การใช้บริการจากที่ปรึกษาทางการเงินจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสม โดยที่ Money Adwise พร้อมให้บริการคำแนะนำและการวางแผนการลงทุนที่สอดคล้องกับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ ทีมงานของเราพร้อมช่วยให้คุณเข้าใจความเสี่ยงของการลงทุนอย่างลึกซึ้ง และออกแบบกลยุทธ์การลงทุนที่ตอบโจทย์การเติบโตทางการเงินในระยะยาวอย่างปลอดภัย

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้