ลงทุนตลาดกระทิงและตลาดหมีอย่างไร ผู้รับดูแลการลงทุนมีคำตอบ!

ตลาดกระทิง ตลาดหมี คืออะไร ผู้รับดูแลการลงทุนตอบเอง

ผู้เขียน รัฐพล วชิรเมฆากุล CFP®

การปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับแต่ละช่วงเวลาถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพได้ โดยในภาพรวม ตลาดการลงทุนส่วนใหญ่มักจะประกอบไปด้วย 3 ช่วงเวลาหลัก คือ ตลาดกระทิง (Bull Market) ตลาดหมี (Bear Market) และตลาดไซด์เวย์ (Sideways Market) ที่นักลงทุนจะต้องปรับพอร์ตและเลือกสินทรัพย์การลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกันออกไป

แต่จะบริหารพอร์ตการลงทุนในแต่ละช่วงอย่างไรให้เหมาะสม ที่ปรึกษาแนะนำขั้นตอนการวางแผนการลงทุนจาก Money Adwise จะมาอธิบายให้ฟัง

 

รู้จัก “ตลาดกระทิง” (Bull Market)

 

ตลาดกระทิงคืออะไร?

ตลาดกระทิง (Bull Market) คือ สภาวะที่ตลาดการลงทุนและเศรษฐกิจอยู่ในช่วงขาขึ้น เช่นเดียวกับภาพกระทิงที่พร้อมจะเข้าโจมตีโดยการชูเขาให้สูงขึ้น ในสภาวะตลาดกระทิงนี้ สินทรัพย์การลงทุนหลายประเภทมักมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่สภาพเศรษฐกิจเองก็ส่งสัญญาณบวก เพราะมีการเติบโตในภาคธุรกิจต่าง ๆ ทั้งในเรื่องของผลประกอบการและการจ้างแรงงาน

 

รู้ได้อย่างไรว่าเข้าสู่ตลาดกระทิงแล้ว?

สัญญาณการเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิงนี้สามารถสังเกตได้จากหลายปัจจัย เช่น ตลาดหุ้นที่เติบโตขึ้นอย่างน้อย 20 % จากจุดต่ำสุดในช่วง 2 เดือนหรือนานกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดหุ้นต่างประเทศที่สะท้อนสภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างดัชนีหุ้นดาวน์โจนส์จากสหรัฐฯ มีการปรับตัวสูงขึ้น หรือเป็นทางฝั่งเอเชียก็จะเห็นได้ว่า ดัชนีฮังเส็งจากฮ่องกง ดัชนีนิคเกอิจากญี่ปุ่น และดัชนีหุ้นสเตรทไทม์จากสิงคโปร์เองก็จะมีการปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถสังเกตได้จากสัญญาณบวกทางด้านเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น การเข้ามาของนักลงทุนต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับน่าลงทุน ไปจนถึงอัตราการว่างงานที่ลดลง เนื่องจากธุรกิจมีผลประกอบการที่ดีขึ้นและสามารถขยายกิจการได้

ข้อควรระวัง:

แม้ราคาสินทรัพย์การลงทุนจะเพิ่มขึ้นและดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ตลาดกระทิงแล้ว แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาทและบริหารความเสี่ยงได้มีประสิทธิภาพ นักลงทุนยังควรเช็กให้ละเอียดด้วยว่า สินทรัพย์การลงทุนที่สนใจนี้กำลังเข้าสู่ตลาดกระทิงจริงหรือไม่

โดยเบื้องต้นแล้ว หากราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวสูงขึ้น แต่ผลประกอบการของบริษัทและเศรษฐกิจปรับตัวลดลง หรือ มีทิศทางตรงกันข้ามกับราคาสินทรัพย์ ก็มีแนวโน้มว่าจะเกิดตลาดกระทิงหลอก ทำให้เพิ่มความเสี่ยงให้กับการลงทุนได้

 

จับจังหวะลงทุนในตลาดกระทิงอย่างไร?

หากพิจารณาอย่างละเอียดแล้วว่า ในขณะนี้ตลาดการลงทุนกำลังเข้าสู่ภาวะตลาดกระทิงอย่างแท้จริง นักลงทุนสามารถวางแผนจัดสัดส่วนพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นอย่างหุ้นเติบโต (Growth Stock) เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพได้

อย่างไรก็ดี ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ที่ปรึกษาด้านขั้นตอนการวางแผนการลงทุนจาก Money Adwise ขอแนะนำให้นักลงทุนพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางบริษัท โดยนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นจากธุรกิจที่มีราคาเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกับผลประกอบการ

ที่สำคัญ เมื่อถึงเวลาที่ต้องซื้อขายสินทรัพย์เพื่อสร้างกำไรในขณะที่ตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรเลือกขายสินทรัพย์ที่มีราคาเกินกำไรสุทธิ หรือ มีราคาสูงกว่าราคาพื้นฐาน แต่หากเข้าซื้อ หรือ ลงทุนในขณะที่สินทรัพย์มีราคาสูงแล้ว นักลงทุนยังสามารถตัดสินใจขายเพื่อคงกำไรจากการลงทุนเอาไว้ก่อนได้

นอกจากนี้ ที่ปรึกษารับดูแลการลงทุนยังแนะนำเพิ่มเติมอีกว่า นักลงทุนยังควรพิจารณาต้นทุนในการซื้อสินทรัพย์ให้ดี เพราะราคาซื้อขายสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในตลาดกระทิงมักจะมีการปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการลงทุนสูงขึ้น และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่น้อยลงได้

 

เข้าใจ “ตลาดหมี” (Bear Market)

 

ตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร?

โลกใบนี้ล้วนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เช่นเดียวกับตลาดการลงทุนที่มีขึ้นและลง โดยหากตลาดกระทิงเป็นสภาวะที่เศรษฐกิจและสนามการลงทุนอยู่ในภาวะขาขึ้น ตลาดหมี (Bear Market) ก็คือ สภาวะที่เศรษฐกิจและการลงทุนอยู่ในช่วงขาลง ราวกับหมีที่กำลังจำศีลอย่างสงบเพื่อรอวันกลับขึ้นมาอีกครั้ง

 

สัญญาณของตลาดหมีที่นักลงทุนควรรู้

ในทางเศรษฐกิจแล้ว สัญญาณการเข้าสู่ตลาดหมีจะมาในรูปแบบภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ มีอัตราการว่างงานสูงขึ้น เนื่องจากภาคธุรกิจมีผลประกอบการมีกำไรน้อยลง

นอกจากนี้ เศรษฐกิจที่ตกต่ำยังทำให้นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนทั้งในภาคธุรกิจและตลาดการลงทุน แต่จะหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เช่น ฝากธนาคาร หรือ ซื้อทองคำ ส่งผลให้สินทรัพย์การลงทุนอย่างหุ้นและกองทุนมีการปรับราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง

โดยตามทฤษฎีแล้ว หากราคาสินทรัพย์การลงทุนมีการปรับตัวลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดก็เท่ากับว่าขณะนี้ตลาดการลงทุนเองก็ได้เข้าสู่ภาวะตลาดหมีเรียบร้อยแล้ว นักลงทุนควรวางแผนการลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ

 

จับจังหวะลงทุนในตลาดหมีอย่างไร?

ตลาดหมี คือ สภาวะที่ตลาดการลงทุนมีราคาผันผวนและต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนบางส่วนจึงเลือกที่จะถือเงินสด หรือ ลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำ เพื่อรอตลาดกลับมาฟื้นตัว โดยนักลงทุนควรรอจังหวะเข้าซื้อที่เหมาะสม หรือ หากซื้อมาแล้วก็ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานทางบริษัทก่อนตัดสินใจซื้อขาย เพราะสินทรัพย์บางตัวที่มีพื้นฐานดีอาจมีแนวโน้มจะปรับตัวตามปัจจัยพื้นฐานก็เป็นได้

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤตตลาดหมี นักลงทุนยังสามารถวางแผนสร้างผลตอบแทนกับสินทรัพย์บางประเภทได้ เช่น หุ้นเชิงรับ (Defensive Stock) ที่มีพื้นฐานแข็งแรง ความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งอาจเป็นเงินปันผล หรือ ดอกเบี้ย

นอกจากนี้ นักลงทุนยังสามารถเลือกลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock) ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ทำให้มีต้นทุนการลงทุนที่น้อยลง อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนสนใจจะลงทุนในหุ้นประเภทนี้ ขอแนะนำให้ศึกษาปัจจัยพื้นฐานของหุ้น บริษัท และสัดส่วนราคาหุ้นต่อปัจจัยอื่น ๆ อาทิ สัดส่วนต่อมูลค่าตามบัญชี (Price-to-Book Ratios) หรือ สัดส่วนต่อกำไร (Price-to-Earning Ratios) เป็นต้น

 

 

มาดู “ตลาดไซด์เวย์” (Sideways Market)

 

ตลาดไซด์เวย์คืออะไร?

ตลาดไซด์เวย์ (Sideways Market) คือ สภาวะที่ตลาดการลงทุนมีการขยับตัวน้อยกว่า 20% จากจุดต่ำสุดและสูงสุด แต่จะมีการเคลื่อนไหวขึ้นลงทีละน้อย ทำให้นักลงทุนไม่สามารถวิเคราะห์และคาดการณ์สภาพตลาดในอนาคตได้

 

สัญญาณของตลาดไซด์เวย์

ภาวะตลาดไซด์เวย์มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความต้องการซื้อและขายอยู่ในระดับที่ใกล้กัน ส่วนใหญ่มักเกิดในช่วงที่ตลาดกำลังพักตัวก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงราคา โดยนักลงทุนอาจสังเกตได้ว่า ราคาซื้อขายของสินทรัพย์นั้นจะไม่เกินกรอบแนวรับและแนวต้าน หรืออาจเลือกใช้เครื่องมือ หรือ Indicator ประเภท Overlay Indicators หรือ Oscillator Indicators ในการตรวจสอบก็ได้เช่นกัน

 

วางแผนลงทุนในตลาดไซด์เวย์อย่างไร?

หากนักลงทุนเจอกับสภาวะตลาดไซด์เวย์ ที่ปรึกษารับดูแลการลงทุนของ Money Adwise ขอแนะนำให้นักลงทุนเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูงในทุกช่วงเวลา โดยอาจเลือกพิจารณาลงทุนหุ้นเชิงรับ (Defensive Stock) ที่มีปัจจัยพื้นฐานทางบริษัทและสินทรัพย์ที่ดี หรือเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เช่น หุ้นที่มีการจ่ายปันผล หรือ ดอกเบี้ย

 

สภาวะเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนทั้ง 3 แบบดังกล่าวนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา ด้วยเหตุนี้ เพื่อวางแผนบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่มีประสิทธิภาพในทุกสภาวะ นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด พร้อมเลือกสินทรัพย์การลงทุนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหว เพื่อนำไปสู่เป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ

Money Adwise มาพร้อมกับบริการวางแผนการลงทุนโดยนักวางแผนการเงินที่ได้รับการรับรองคุณวุฒิวิชาชีพ CFP® เพื่อสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 6% - 7% ต่อปี* และมีกระแสเงินสดรายเดือน 4% - 5% ต่อปี* ตอบโจทย์ทุกเป้าหมายการเงินและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปรึกษาครั้งแรกฟรี นัดเวลาที่สะดวกที่นี่

 

*ไม่ใช่การการันตี
**การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาเงื่อนไข ผลตอบแทน และนโยบายของผลิตภัณฑ์ก่อนตัดสินใจลงทุน

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้